วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ผีนางตะเคียน


                     

ผีนางตะเคียน ตำนานความเชื่อเรื่องนางตะเคียน

นางตะเคียน เป็นผีตาม ตำนานพื้นบ้านของไทย เป็นผีผู้หญิง สิงสถิตอยู่ในต้นตะเคียนบริเวณผืนป่าที่ผีนางตะเคียนสิงสู่อยู่จะสะอาด สะอ้านเหมือนมีคนมาปัดกวาดอยู่เสมอๆ ก็คงเหมือนกับคนอยู่บ้านต้องออกมาปัดกวาดหน้าบ้านตัวเองให้สะอาดอยู่ตลอด เวลานั่นเอง

นางตะเคียนมักมีรูปร่างหน้าตาสะสวย หมดจดงดงาม ผมยาว ห่มสไบ ใส่ผ้าถุง บางที่ก็ว่าแต่งตัวเหมือนสาวบ้านป่าทั่ว ๆ ไป ผีนางตะเคียนมักจะเป็นจำพวกหวงที่อยู่ และจะดุร้ายมากหากใครคิดจะรุกรานที่อยู่ของตน

ผู้คนที่มีความเชื่อ เรื่องนี้ มักเชื่อว่าต้นตะเคียนมักมีผีนางตะเคียนสิงอยู่ การจะนำเอาต้นตะเคียนมาขุดเป็นเรือ (เรือสมัยก่อนใช้วิธีขุดขึ้นจากต้นไม้ทั้งต้น) หรือนำไม้ตะเคียนมาสร้างบ้าน จำเป็นจะต้องทำพิธีบวงสรวงขออนุญาตจากนางตะเคียนก่อน ทั้งนี้ เมื่อต้นตะเคียนที่ถูกนำ มาแปรสภาพเป็นยานพาหนะ หรือสิ่งปลูกสร้างแล้ว นางตะเคียนที่สิงสถิตอยู่ในต้นตะเคียนนั้นก็จะเปลี่ยนแปลงสถานะตามไปด้วย เช่น ถ้าเป็นเรือ นางตะเคียนก็จะกลายเป็นแม่ย่านางเรือ เป็นต้น

วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2557

รวมเรื่องเล่าน่ากลัว สยองขวัญเฮี้ยน

ผีตายโหง

ผีตายโหง
ผีประเภทนี้ทำให้คนขวัญอ่อนหวาดหวั่นขวัญสยองเป็นที่สุด เพราะเป็นผีที่ไม่ได้เจ็บป่วยตาย หรือตายเพราะแก่เฒ่า แต่ตายเพราะอุบัติเหตุ เช่น รถชนกัน เรือล่ม โดนยิง โดนฟัน หรือโดนระเบิดตูมเดียวตัวไปทาง หาง…เอ๊ย! หัวไปทาง
รวมทั้งการฆ่าตัวตาย ไม่ว่าผูกคอตาย ยิงตัวตาย กระโดดตึกตาย ฯลฯ ทำอะไรก็ได้เพื่อให้ตัวเองตายๆ ไปซะที จะได้ไปเกิดใหม่ที่ไม่ต้องลำบากลำบนหรือทนทุกข์ทรมานเหมือนชาตินี้…เรียก ว่าผีตายโหงทั้งนั้นเลย!
เชื่อกันฝังหัวมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ ว่าผีตายโหงนั้นดุร้ายสาหัสนัก เพราะตายทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงคราวตาย จิตวิญญาณยังผูกพันอยู่กับความหลัง หรือคนที่ตัวรักและห่วง ใย รวมทั้งผู้ที่ตัวเกลียดชังคั่งแค้นด้วย…นิยมปรากฏกายหลอกหลอนเอาดื้อๆ สารพัดรูปแบบ
แต่ที่แน่ ๆ ก็คือทำให้คนที่โดนหลอกวิ่งป่าราบ หรือเผ่นแน่บแทบตับทรุด…บางคนเรอได้เอิ๊กเดียวแล้วเป็นลม สลบคาที่ อาการหนักกว่านั้นก็หัวใจวายไปเลย

วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ประเพณีและพิธีกรรมเกี่ยวกับความตาย

        เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องที่มนุษย์ทุกคนจะต้องประสบและไม่สามารถหลีกหนีจุดจบของชีวิตได้ ประเพณีไทยมีพิธีกรรมในการจัดการกับศพเพื่อแสดงถึงความรักและอาลัยให้แก่ผู้ตายและเป็นการส่งวิญญาณผู้ตายให้ไปสู่สุขคติ
         เมื่อมีคนสิ้นลมหายใจแล้ว นำมาทำพิธี พิธีที่จะทำเริ่มแรก คือ การอาบน้ำศพหรือที่เรียกกันว่า พิธีรดน้ำศพ ซึ่งการรดน้ำศพจะจัดพิธีหลังจากคนตายไปไม่นานนัก โดยใช้น้ำมนต์ผสมน้ำสะอาด โรยด้วยดอกไม้หอมหรืออาจะใช้น้ำอบผสมด้วย ผู้ที่มารดน้ำศพจะรดที่มือข้างหนึ่งของผู้ตายที่ยื่นออกมาและกล่าวคำไว้อาลัย
         หลังจากพิธีรดน้ำศพเสร็จสิ้นแล้ว ก็จะต้องนำศพมาแต่งตัว โดยการหวีผมให้ศพ และเมื่อหวีผมเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะต้องหักหวีโยนลงโลงศพในการนุ่งผ้าสวมเสื้อให้ศพนั้นจะต้องสวมเสื้อเอาหน้าไว้หลังเอาหลังไว้หน้าเสื้อที่ใส่เป็นสีขาว นุ่งผ้าขาว ให้เอาชายพกไว้ข้างหลัง จากนั้นจึงเป็นการนุ่งห่มตามธรรมดาอีกครั้งหนึ่ง
         การนำเงินใส่ศพ และการนำหมากใส่ปากศพนั้นก็เพื่อเป็นการให้คติข้อคิดเตือนใจให้กับคนที่มีชีวิตอยู่ว่า บรรดาทรัพย์สมบัติที่ผู้ตายมีไม่ว่าจะน้อยหรือมากเพียงใด เมื่อตายไปก็ไม่สามารถเอาไปได้ เช่น เดียวกันกับหมากที่ผู้ตายชอบ แต่เมื่อตายไปแล้วก็ไม่สามารถเคี้ยวได้ ดังนั้น จึงไม่ควรมีความโลภลุ่มหลงในทรัพย์สินเงินทองแต่ควรหมั่นสร้างบุญสร้างกุศล
         การปิดหน้าศพ นั้นก็เพื่อป้องกันการอุจาดตา สัปเหร่อจะเป็นผู้มัดตราสัง ก็คือการมัดศพโดยใช้ด้ายดิบขนาดใหญ่มาทำการมัดมือที่คอ แล้วโยงมาที่มือที่ประนมอยู่ที่หน้าอก โยงไปที่เท้า และมีการท่องคาถา หลังจากนั้นสัปเหร่อก็จะนำศพลงโลงโดยมีการทำพิธีเบิกโลงก่อน และมีการนำมีดหมอเสกสับปากโลงด้วย เมื่อสัปเหร่อทำพิธีการเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะสามารถนำศพออกจากเรือนหรือย้ายศพไปเผาได้และจะตั้งศพโดยจะหันไปทางทิศตะวันตกเพราะเชื่อว่าเป็นทิศของคนตาย
         การสวดศพ เจ้าภาพอาจจะใช้เวลา 5 วัน หรือ 7 วัน ตามความสะดวกและฐานะของเจ้าภาพ และนิมนต์พระสงฆ์ 4 รูป สวดศพอภิธรรมในการเผาศพ วันเผาศพนั้นจะต้องไม่ใช่วันศุกร์ วันพฤหัสบดี วันพระ วันเลขคู่ ในข้างขึ้น วันเลขคี่ในข้างแรม ในวันเผาศพจะมีการทำบุญและทำมาติกาบังสกุลก่อน จากนั้นก็จะเคลื่อนศพเวียนซ้าย 3 รอบ ยกขึ้นเชิงตะกอนหรือขึ้นเมรุ ผู้ที่มาร่วมงานศพจะนำดอกไม้จันทร์ที่เจ้าภาพแจกให้ขึ้นไปวางไว้ที่ฝาโลงศพ ซึ่งในพิธีการเผาศพจะมี 2 ช่วงคือ ช่วงแรกจะเรียกว่าการเผาหลอก คือพิธีการที่บรรดาญาติพี่น้องและแขกที่มาร่วมงานจะนำดอกไม้จันทน์ขึ้นไปวางไว้ แต่ยังไม่มีการจุดไฟจริง แต่พิธีการเผาจริงจะเป็นบรรดาญาติสนิทขึ้นไปวางดอกไม้จันทน์ และมีการจุดไฟเผาจริง
         เมื่อพิธีเผาศพเสร็จเรียบร้อยแล้ว เช้าวันรุ่งขึ้นสามารถมาเก็บอัฐิได้แต่ถ้าเป็นชนบทจะเก็บอัฐิภายหลังการเผาแล้ว 3 วัน เนื่องจากชนบทจะใช้ฟืนเผาจึงจะต้องรอให้ไฟมอดสนิทก่อน ลูกหลานจะเก็บส่วนที่สำคัญไว้บูชา และบางส่วนอาจจะนำไปลอยอังคาร ซึ่งอาจจะเป็นแม่น้ำ หรือทะเล ทั้งนี้มีความเชื่อที่ว่าจะทำให้วิญญาณของผู้ตายมีความสงบและร่มเย็น
         พิธีกรรมที่จัดขึ้นเป็นประเพณีที่สืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบันถึงแม้จะมีพิธีบางอย่างที่ปรับเปลี่ยนไปเพื่อให้เข้ายุคสมัย แต่ข้อคิด คติเตือนใจที่แฝงอยู่ในความเชื่อต่างๆ สามารถช่วยย้ำเตือนให้ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ข้อคิดในการดำเนินชีวิตและพยายามทำความดีงามเพื่อที่จะได้เจอแต่สิ่งดีๆ

วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2557

การอุทิศบุญและกรวดน้ำให้ถึงยังดวงวิญญาณ


การอุทิศบุญก็คือ การเชื่อมบุญที่ได้ทำไปแล้วไปถึงผู้ที่เราต้องการจะส่งบุญให้ ซึ่งไม่ใช่พิธีการทางไสยศาสตร์หรือเรื่องราวที่สลับซับซ้อนใด ๆ เปรียบเสมือนเราจุดไฟต่อเทียนขึ้นมาเล่มหนึ่งแล้วเราก็ส่งไฟต่อเทียนไปให้อีกเล่มหนึ่งฉันใดฉันนั้น ซึ่งวิธีการอุทิศบุญก็คือการตั้งจิตให้สงบแล้วภาวนาอธิษฐานส่งผลบุญที่ได้ทำนี้ไปให้เขา ซึ่งกรณีนี้การแก้ไขกรรมเรื่องทำแท้งนี้ก็คือ ลูกของเราเอง ซึ่งก่อนที่จะทำการอุทิศบุญให้คนเป็นพ่อแม่ที่ได้ทำแท้งลูกต้องทำการ “ตั้งชื่อ”ให้ลูกเสียก่อนบุญนี้จึงจะสามารถส่งไปหาตัวลูกได้
การตั้งชื่อลูกก็ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมากคือตั้งไปตามความปรารถนาของพ่อแม่โดยปกติที่จะต้องตั้งชื่อให้ลูกตนเองอยู่แล้วอาจเป็นชื่อเล่นหรือชื่อจริงก็ได้
เมื่อตั้งชื่อได้แล้วก็ให้ตั้งจิตอธิษฐานส่งบุญนี้ไปให้แก่ลูก (เอ่ยชื่อ หรือนึกในใจ)ว่า

“ขอให้บุญนี้จงสำเร็จแก่ตัวของลูกขอให้ลูกจงมีความสุข” พร้อมด้วยกล่าวคำกรวดน้ำอุทิศบุญกุศลว่า “ อิทัง สัพพะเวรีนัง โหนตุ สุขิตาโหนตุ สัพเพเวรี ขอให้ส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวงขอให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวงจงมีความสุข”

การกรวดน้ำอุทิศบุญให้
เมื่อเราได้ทำบุญส่งไปให้เขาแล้ว ควรจะกรวดน้ำแผ่เมตตาด้วย เพราะจะทำให้การอโหสิกรรมนั้นเร็วขึ้น ครูบาอาจารย์ท่านแนะนำว่า หลังจากสร้างบุญ ควรมีการกรวดน้ำทำบุญแผ่เมตตาไปให้ทุกครั้ง และควรทำในวันนั้นเลย ซึ่งส่วนมากคนที่ไปทำบุญตามวัดหรือสถานที่ที่เราได้สร้างบุญไว้แล้วต่างๆ มักจะมีที่กรวดน้ำอยู่แล้วก็ควรกรวดน้ำส่งบุญให้ทันที แต่หากท่านที่ลืมหรือติดขัดอะไรก็ขอให้กลับมาทำที่บ้านก็ได้

ทำไมถึงต้องกรวดน้ำ ? หลายท่านบอกว่าไม่ต้องกรวดก็ได้ใช้กรวดแห้งหรือกรวดแบบไม่ใช้น้ำก็ได้ ซึ่งเรื่องราวดังกล่าวนั้นก็ถือเป็นความเข้าใจที่ถูกต้องแต่เหมาะสำหรับคนบางคน หรือดวงจิตวิญญาณบางจิตเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ เพราะบางจิตวิญญาณระดับบุญของเขาต่ำเขารับแบบตรงๆ ไม่ได้ต้องมีสื่อ มีน้ำช่วย รวมถึงคนที่ส่งบุญไปให้เขาถ้ามีจิตมีภูมิธรรมที่สูงก็สื่อถึงกันได้เลย
แต่ถ้าจิตไม่สูง ไม่มีความละเอียดพอก็ควรมีการกรวดน้ำทำบุญแผ่เมตตา เมื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลถึงกับผู้ที่ล่วงลับหรือเด็กที่เสียชีวิตไปแล้ว  เขาก็จะได้อานิสงส์ผลบุญ เขาก็อวยพรให้ไม่มาขัดขวาง ไม่มาเอาตัวเราไปอยู่กับเขา หรืออย่างน้อยเขาก็จะคลายความโกรธ ความอาฆาตลง ดังนั้นเรื่องจะกรวดน้ำหรือไม่กรวดน้ำ ก็ขอให้แต่ละบุคคลพิจารณาดูว่า “จิต”ของตนเองนั้นมีความละเอียดมีภูมิธรรมระดับไหนซึ่งคนที่มีภูมิธรรมสูง ๆมีจิตแข็งพอจะสามารถทำได้เพราะจิตได้รับการฝึกฝนมายาวนานสามารถส่งบุญให้เขาได้รับทันที แต่ถ้าไม่เคยฝึกมาเลย ก็ควรใช้การกรวดน้ำช่วยเพื่อให้บุญได้ส่งถึงเขาอย่างไม่ขาดสาย ได้รับกันไปแบบเต็ม ๆไม่ขาดช่วง
หลังจากอุทิศบุญให้แล้วก็ให้ทำการแผ่เมตตาให้ดวงวิญญาณของลูกและเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายด้วย ซึ่งก่อนที่จะแผ่เมตตาขอให้ตั้งจิตให้สงบเสียก่อน ยิ่งสงบมากจะทำให้จิตมีพลัง นึกถึงบุญที่เคยทำมาทั้งหมดค่อยๆ นึกได้แล้ว ควรนึกถึงให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้  ขอให้อธิษฐานรวมบุญทั้งหมดที่เคยทำมารวมไว้เป็นกองบุญเดียว แล้วให้ว่าดังนี้

“นะโม ตัสสะ ภควะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (๓ จบ)
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทะวา รัตตะเยนะ
กะตัง สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเต

หากข้าพเจ้าจงใจหรือประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินบิดา – มารดา ครูบาอาจารย์ พระพุทธ พระธรรม พระอรหันต์ทุกพระองค์ พระอริยสงฆ์เจ้า ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย รวมถึงผู้มีพระคุณ และท่านเจ้ากรรมนายเวร จะด้วยกายวาจาใจ ขอได้โปรดอโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้าด้วย หากข้าพเจ้ามีเจ้าของในตัวติดตามมาข้าพเจ้าขออนุญาตมีคู่มีครอบครัวได้เหมือนคนปกติทั่วไป ขอถอนคำอธิฐาน คำสาบานที่จะติดตามคู่ในอดีต ขอให้ต่างฝ่ายต่างเป็นอิสระ

ข้าพเจ้าจะประพฤติตนในทางที่ถูก ที่ชอบ ที่ควร ขอบุญบารมีในอดีตกาลที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน จงส่งผลให้ข้าพเจ้าและครอบครัวตลอดจนบริวารที่เกี่ยวข้อง จงเจริญด้วยอายุวรรณะ สุขะ พละ ลาภ ยศ สรรเสริญ สติปัญญา ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ อุปสรรคใด ๆ โรคภัยใด ๆ ขอให้มลายสิ้นไป ขอให้ข้าพเจ้ามีความสว่างทั้งทางโลกและทางธรรมตั้งแต่บัดนี้ตราบเข้าสู่นิพพานเทอญ

ข้าพเจ้าขอถอนคำสัญญา คำสาบาน คำอธิษฐานที่ผูกมัดตัวเองและผู้อื่น ขอให้ต่างฝ่ายต่างเป็นอิสระจากสัญญาทั้งปวง (หากข้าพเจ้าหมดอายุแล้วขออยู่ต่อเพื่อสร้างบารมี)

หากมีผู้ใดเคยสร้างเวรสร้างกรรมกับข้าพเจ้า ไม่ว่าชาติใดภพใดก็ตาม ข้าพเจ้ายินดีอโหสิกรรมให้ ขอถอนความอาฆาต ความพยาบาท และคำสาปแช่งในทุกชาติทุกภพ ขอให้ข้าพเจ้าพ้นจากคำสาปแช่งของปวงชน ของเจ้ากรรมนายเวร ขอให้พ้นนรกภูมิ พบแสงสว่างทั้งทางโลก ทางธรรมเทอญ”

วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2557

กัปปะ (Kappa)


กัปปะ
 (Kappa)

                สำหรับสัตว์เร้นลับตอนนี้ก็คือกัปปะครับ หลายคนอาจได้ยินเรื่องราวของมันมาบ้าง ในฐานะตัวละครตัวหนึ่งในการ์ตูนญี่ปุ่น หรือไม่ก็ในนิทานตำนานพื้นบ้านของญี่ปุ่นก็กล่าวถึงเจ้าตัวนี้เหมือนกัน
กัปปะ (แปลว่า"เด็กของแม่น้ำ") นอกจากนี้ยังมีชื่อเรียกของกัปปะแตกต่างกันไปตามท้องถิ่นอีกเช่น คาวัปปะ คาวะวัปปะ การัปปะ นอกจากนี้ยังมีเกทาโร่หรือกาทาโร่ซึ่งแผลงมาจากคาวะทาโร่ และในอีกทฤษฎีหนึ่ง ชิบะเท็น (ชิบะเท็นงุ) ของโคจิก็ถูกนับเป็นอีกสายหนึ่งของกัปปะเช่นกัน
นอกจากนี้กัปปะได้ชื่อว่าเป็น UMA ของญี่ปุ่นอีกตัวหนึ่งที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก(แฮรี่ พอตเตอร์ยังกล่าวถึงเลยคิดดู) และได้รับความนิยมจากชาวญี่ปุ่นเองต่อเนื่องมาเป็นเวลานานที่สุดด้วย เช่นเดียวกับ สึจิโนะโกะ และจนทุกวันนี้ก็ยังมีผู้อ้างว่าเห็นกัปปะตามที่ต่างๆในญี่ปุ่นเป็นจำนวนไม่น้อยทีเดียว แต่รายงานอย่างเป็นทางการไม่ค่อยแพร่หลายนัก เพราะหลายคนไม่ยอมเชื่อเพราะมันเกินจริงไปหน่อย อีกทั้งเดี๋ยวนี้ประเทศญี่ปุ่นเองก็ล้ำโลกไปแล้วทำให้ตำนานพื้นบ้าน หลักฐานเก่าๆ นาๆ ได้ถูกทำลายไปอย่างน่าเสียดาย
               
ในตำนาน กัปปะ เป็นผีญี่ปุ่นชนิดหนึ่ง เป็นผีจำพวกพรายน้ำ ประวัติการกำเนิดไม่เด่นชัด แต่มีข้อสันนิษฐานว่ามีช่างไม้ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ชื่อ ฮิดาริจินโกโร่ อ้างว่าตุ๊กตาไม้ที่เขาทำโยนลงน้ำ กลายเป็นกัปปะไป หรืออีกตำนานก็เล่าว่า เดิมกัปปะเป็นเทพที่ดูแลแม่น้ำลำคลอง แต่เมื่อมนุษย์เลิกนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กัปปะเลยตกชั้นเป็นเพียงภูตผีธรรมดา หรือทางฝั่งตะวันตกของญี่ปุ่นจะเชื่อว่ากัปปะข้ามมาจากแผ่นดินใหญ่ (ประเทศจีน) หรือฝั่งตะวันออกจะเชื่อว่าเป็นภูติรับใช้ของอาเบะโนะเซย์เมย์ หรือภูติอารักขาของเอ็นโนะโอซึโนะที่แปลงกายมา ในบางที่ มีการมองว่ากัปปะเป็นเทพของแม่น้ำ ซึ่งเมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วง (บางเขตก็จะบอกว่าเป็นฤดูหนาว) ก็จะขึ้นเขากลายเป็นเทพของภูเขา บ้างก็ว่าเป็นเทพประเภทเดียวกับซาชิกิวาราชิ ซึ่งจะมีแต่เด็กเท่านั้นที่มองเห็น(จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ได้มีการบันทึกไว้ในหนังสือ "เหตุการณ์ในอดีต" กล่าวว่ามีคนเคยพบสิ่งมีชีวิตครึ่งบกครึ่งน้ำที่มีลักษณะคล้ายคนเมื่อประมาณ 1,200 ปีก่อน จึงอาจคิดว่าเจ้าตัวนี้ก็คือกัปปะรุ่นบุกเบิกที่ได้มีการค้นพบและบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรของญี่ปุ่นก็ว่าได้)
กัปปะเป็นภูติผีที่ชอบอาศัยอยู่ตามหนองน้ำหรือแหล่งน้ำต่าง ๆ มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกบ ตัวสีเขียว แต่มีกระดองเต่าอยู่ข้างหลัง เท้ามีพังผืดทั้งเท้าหน้าและเท้าหลัง จมูกแหลม ปากแหลมเหมือนนก ผิวเป็นเมือกลื่น อาจมีสีเขียว น้ำเงิน หรือแดง มือก็เป็นผังผืด ที่หลังจะมีกระดองเต่า มีขนดกทั่วตัว แขนขาของกัปปะยาวยืดหยุ่น และได้มีลักษณะศีรษะที่แบนและกลางกระหม่อมไม่มีผม  
นิสัยของกัปปะที่เรารู้กันดี คือ ชอบกินแตงกวา ในฤดูเก็บเกี่ยวแตงกวาของเกษตรกร ที่ญี่ปุ่นจึงมีธรรมเนียมการลอยแตงกวาลงแม่น้ำ เพื่อเซ่นวารีเทพ และทำทานให้ผีอดโซ เป็นที่มาของเรื่องเล่าที่ว่า หากชายใดแก้ผ้าลงเล่นน้ำในแม่น้ำ อาจถูกกัปปะดึงของลับ เพราะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นแตงกวาที่เอามาเซ่น กัปปะมีนิสัยที่ขี้เล่นและอยากรู้อยากเห็น ซึ่งบางครั้งก็เป็นอันตรายกับมนุษย์ ซึ่งมีวิธีแก้ก็คือ ให้เขียนชื่อตัวเอง ลงไปในแตงกวา แล้วขว้างลงไปในแม่น้ำ เมื่อ กัปปะ มาเจอแตงกวานี้เข้าก็จะกินอย่างเอร็ดอร่อย และ ก็จดจำชื่อ ที่อยู่บนแตงกวาด้วย คราวหน้าบังเอิญต้องเจอะเจอเจ้าของชื่อ กัปปะ ก็จะไม่ทำอันตรายอะไร (จากการที่กัปปะชอบแตงกว่านี่เอง ชาวญี่ปุ่นจึงเรียกมากิซูชิ (ซูชิแบบม้วน) ที่ห่อไส้แตงกวาว่า"กัปปะมากิ"
นิสัยของกัปปะอีกอย่างคือมันชอบเล่นซูโม่  ถึงแม้ว่ากัปปะจะมีรูปร่างพอๆกับเด็ก แต่ก็เป็นผีที่เอาชนะได้ยาก แต่จุดอ่อนคือถ้าขึ้นบนบกจะหมดฤทธิ์ จึงใส่น้ำไว้บนศีรษะที่แบนราบของตัวเอง ดังนั้นเมื่อพบเจอกับกัปปะให้ก้มคาราวะ เมื่อกัปปะคาราวะตอบ น้ำบนศีรษะจะหก ทำให้หมดฤทธิ์ และ กัปปะจะก้มตาม ทำให้น้ำกระฉอกออกจากจาน กัปปะจะอ่อนแรงลง และพ่ายแพ้ในที่สุด ซึ่งจะทำให้กัปปะเสียใจอย่างมาก
 
กัปปะมีความอันตรายเช่นเดียวกับผีร้ายอื่นๆ แต่โดยรวมๆแล้วตำนานไม่ได้มองว่ากัปปะเป็นสิ่งชั่วร้ายโดยตรงนัก มีเรื่องเล่าอยู่เสมอๆ ว่ากัปปะเคยหลอกล่อให้คนลงไปในน้ำ มักจะลากม้า หรือเด็กๆลงแม่น้ำจนจมน้ำตาย หากถูกชาวประมงจับได้ มันจะปล่อยตดออกมาป้องกันตัว ซึ่งเหม็นบรรลัย ทั้งยังมีเรื่องเล่าที่ว่า กัปปะจะคอยแอบอยู่แถวๆ ส้วม เมื่อคนเผลอมันจะแกล้งโดยใช้นิ้วสวนทวาร.....
แต่ว่าก็มีกัปปะบางตัวเหมือนกันที่นิสัยดีมีความสุภาพอ่อนน้อมและมีสัมมาคาราวะมาก กัปปะเป็นพรายที่มีความคิด ถ้ารู้สึกผิด มันจะขอโทษโดยการจับปลามาให้ที่หน้าประตูบ้านทุกวัน หรือไม่ก็มอบยาสมุนไพรชั้นเลิศที่มันปรุงขึ้นมาให้ ซึ่งกัปปะมีความเชี่ยวชาญด้านการปรุงยาลี้ลับอย่างมาก
                จับแล้วครับเรื่องตำนาน คราวนี้มาถึงเรื่องตามรอยสัตว์เร้นลับของเราบ้าง
กัปปะที่พูดถึงในฐานะ UMA ก็ถูกแบ่งเป็นสองชนิดตามลักษณการปรากฏตัวในตำนานคือ

-          ประเภทที่เหมือนเต่า
 
กัปปะชนิดนี้จะมีเกล็ดปกคลุมทั่วตัวและมีจงอยปาก บนศีรษะมีจานอยู่ หากจานนี้แตกไป กัปปะก็จะถึงตายได้ บนหลังมีกระดองเหมือนกระดองเต่า มือและเท้ามีพังผืด ชอบกินแตงกวา

-          
ประเภทที่เหมือนลิง
 
มีขนปกคลุมทั่วตัวมีเขี้ยว จมูกมีรูปร่างไม่ชัดเจน บนศีรษะมีรอยบุ๋มอยู่และกัปปะจะหล่อน้ำไว้ในรอยบุ๋มนี้ หากน้ำแห้งไป กัปปะก็จะตาย (บ้างก็ว่า กัปปะเอาจานวางบนหัวเพื่อกันน้ำไม่ให้ระเหยแห้งไป) มือมีนิ้วหัวแม่โป้งและเท้าก็มีส้น ชอบเล่นซูโม่และมักจะมาท้าแข่งกับเด็กๆ จากรูปที่พบจะเห็นว่ามีทั้งกัปปะที่มีกระดองและไม่มีกระดอง จึงสันนิษฐานได้ว่ากระดองไม่ใช่ส่วนหนึ่งของร่างกาย แต่เป็นเครื่องมือที่ชวยในการลอยตัวในน้ำ เนื่องจากกัปปะเด็กจะมีกระดอง แต่กัปปะที่โตแล้วจะไม่มี (บางครั้งจะพบเป็นรูปกัปปะที่ใส่เสื้อฟางแทนกระดอง)
 
ส่วนรายงานการพบเห็น มีการอ้างว่าพบเห็นกัปปะเป็นจำนวนมากจนถึงสมัยเอโดะซึ่งหลังจากนั้นก็น้อยลงเรื่อยๆ ซึ่งสันนิษฐานว่ากัปปะอาจจะกำลังจะสูญพันธุ์เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปก็เป็นได้
ส่วนรายงานล่าสุดเท่าที่มีการบันทึกไว้คือ ที่ เกาะทสึชิมะในจังหวัดนางาซากิ กลางดึกคืนหนึ่งในเดือนสิงหาคม 1984 ขณะที่ ชิโรซากิ ริวซากุ อายุ 71 ปี กำลังเดินกลับบ้านของตน เขาก็ได้สังเกตุเห็นสิ่งมีชิวิตประเภทหนึ่งซึ่งมีความสูงประมาณ เมตร แขนขายาวเดินสวนทางมา
สิ่งมีชีวิตดังกล่าวมีศีรษะค่อนข้างโต และทุกย่างก้าวที่เจ้าตัวประหลาดเดินเข้ามาก็จะมีฝีเท้ากร็อบแกร็บๆ น่าขนลุก
ในตอนแรกชิโรซากิเองก็ไม่ได้นึกว่าสิ่งที่ตนเห็นเป็นกัปปะหรือสัตว์ประหลาด เมื่อทั้งคู่เดินมาจนถึงระยะที่ต่างคนต่างเห็นตัวกันจนถึงระยะที่ต่างคนต่างเห็นตัวกันอย่างชัดเจน ปรากฏว่าเจ้าสัตว์ประหลาดดังกล่าวเกิดตกใจรีบตาลีตาเหลือกวิ่งหนีลงแม่น้ำไปทันควัน
รุ่งขึ้น นายชิโรซากิได้กลับไปที่เกิดเหตุพร้อมกับตำรวจอีกครั้ง เพื่อพิสูจน์ว่าเขาไม่ได้เมาหรือตาฝาดไป ตำรวจก็ได้ตรวจพบรอยเท้าพร้อมเมือกใสๆ ติดอยู่และได้ทำการเก็บตัวอย่างไปวิเคราะห์ เพียงข้ามคืนเดียว ข่าวการพบกัปปะก็ถูกแพร่สะพัดและถูกกล่าวขวัญไปทั่วเกาะญี่ปุ่น แต่ก็ไม่มีใครกล้ายืนยันเพราะขาดหลักฐานเพียงพอ
เพราะไม่มีหลักฐานเพียงพอนี้แหละครับ ทำให้รายการการพบเห็นกัปปะเลยน้อยเหลือเกิน

แล้วมันคือตัวอะไรกันแน่?

               จริงอยู่ว่า หลายคนได้ยินข่าวว่ามีการพบมัมมี่ของกัปปะอยู่ตามที่ต่างๆทั่วประเทศญี่ปุ่น แต่ก็ยังไม่มีการนำไปพิสูจน์กันอย่างจริงจังนักว่าเป็นของจริงหรือไม่ เนื่องจากผู้เก็บรักษาส่วนใหญ่มักจะกล่าวว่า ตัวเองไม่ได้ใส่ใจว่านี่คือของจริงหรือเปล่า ความสำคัญของมัมมี่เหล่านี้อยู่ที่ว่ามันเป็นสมบัติสืบทอดมาจากบรรพบุรุษของพวกเขามากกว่า หรือไม่ก็ที่ไม่นำมาพิสูจน์นั้นเป็นเพราะรู้อยู่แล้วว่าเป็นของปลอม ซึ่งส่วนมากถูกทำขึ้นในสมัยเอโดะนี่เอง(ถือว่าเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง) วิธีทำก็ง่ายๆ เอาซากลิง เต่า นก ปลา มารวมกันแล้วตากแห้งก็เรียบร้อยแล้ว
ใครอยากเห็นซากกัปปะแน่นำไปดูพิพิธภัณฑ์ของแปลกที่ญี่ปุ่นหรือตามวัดที่มีข่าวพบซากกัปปะ(พร้อมซากเงือก) ได้ครับ(แต่จังหวัดไหนไม่รู้นะ)
   
-          ในเมื่อไม่มีใครมาตรวจสอบ เราก็ได้แต่สันนิษฐานไปต่างๆ นาๆ เช่น
-          กัปปะเต่าพันธุ์ใหม่ มีการตั้งสมมติฐานจากกระดองบนหลังว่า กัปปะชนิดนี้อาจจะเป็นเต่าพันธุ์ที่ยังไม่มีการค้นพบก็เป็นได้
-          อาจเป็นแค่ภูต ผี ปีศาจ
-          กัปปะชนิดนี้อาจเป็นสัตว์ในตระกูลลิงที่อยู่ในสายการวิวัฒนาการจากลิงไปเป็นมนุษย์ก็เป็นได้
-          นากแม่น้ำ (อาจจะเป็นสัตว์พันธุ์ใหม่ ไม่ก็ผู้พบเห็นมองพลาดไป)
-          คนที่พบกัปปะอาจจะเมาหรือตาฝาดเห็นสัตว์จำพวกสุนัขจิ้งจอกหรือพวกกิ้งก่าน้ำ

แต่ที่เหลือเชื่อไปหน่อยก็คือทฤษฏีที่ว่ากัปปะเป็น มนุษย์ต่างดาว!! เหตุผลอีกประการหนึ่งซึ่งช่วยสนับสนุนความคิดนี้ก็คือ ซากเอเลี่ยนที่ถูกพบพร้อมกับ UFO ในปี 1947 ซึ่งรูปพรรณสัณฐานเหมือนกับกัปปะของญี่ปุ่นโดยเฉพาะบริเวณมือและเท้าที่เป็นแผงเหมือนเป็ด และเมื่อนำมาเทียบเคียงกับเอเลี่ยนที่เคยถูกพบเห็นในอเมริกา จะเห็นว่าความสูงและรูปร่างจะคล้ายๆกับกัปปะอยู่มาก
 
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม แม้หลายคนจะไม่รู้ว่ากัปปะมีตัวจริงหรือเปล่า แต่ทุกวันนี้มันก็กลายมาเป็นคาแรคเตอร์อย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย และมักถูกยกขึ้นเป็นสัญลักษณ์ของการอนุรักษ์สภาพแวดล้อมทางน้ำอีกด้วย

สำหรับเรื่องกัปปะผมก็มีข้อมูลเพียงแค่นี้ครับท่าน


(ก่อนจบ มักมีการแทนรูปของซัวเจ๋งใน"ไซอิ๋ว"เป็นกัปปะก็จริง แต่ในความจริงแล้ว ซัวเจ๋งตามต้นฉบับเป็น"ชายร่างใหญ่ที่อาศัยอยู่ริมน้ำ" ในขณะที่กัปปะมีขนาดตัวไม่ใหญ่มาก อย่างใหญ่ที่สุดก็มีส่วนสูงเพียง 140 เซนติเมตรเท่านั้นเอง)

วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ประวัติผี นางตานี


ผีนางตานี เป็นผีผู้หญิงของไทยอีกประเภทหนึ่ง คล้ายกับผีตะเคียน แต่ผีตานีจะสิงอยู่ในต้นกล้วยตานี ผีตานีนั้นได้ชื่อว่าเป็นที่ผู้หญิงที่มีความสวยงดงาม ผมยาว นุ่งผ้าสไบสีเขียวอ่อน นุ่งโจงกระเบนสีเขียวอ่อน กลิ่นกายจะหอมคล้ายกับดอกกล้วย แต่ไม่ใช่ในต้นตานีจะมีผีตานีสิ่งอยู่ทุกต้น ซึ่งผีตานีนั้นมักจะชอบหลอกล่อผู้ชายเอาไปเป็นสามี

ผีตานีนั้นยังขึ้นชื่อเรื่องของความหึงหวงที่รุนแรง หากชายหนุ่มคนใดเคยมีอะไรกับผีนางตานีแล้ว ไปมีสัมพันธ์กับผู้หญิงคนอื่น ผีนางตานีจะตามไปหักคอชายหนุ่มคนนั้นทันที ต้นกล้วยตานีจึงเป็นข้อห้ามไม่ให้ปลูกในบ้านเด็ดขาด หรือหากว่ามีการเกิดของต้นกล้วยตานีในบริเวณบ้าน เมื่อกล้วยตานีถึงคราวออกปลี ก็จะมีพิธีพลีพรายตานี ซึ่งเครื่องพลีจะประกอบไปด้วย หัวหมู เครื่องบายศรี อาหารคาวหวาน ขนมต้มแดง ขนมต้มขาว ข้าวตอก ดอกไม้ ธุปเทียน น้ำหอม แป้งแก่นจันทร์ มีการนำแหวนและสร้อยทองคำไปคล้องที่ปลีกล้วยเพื่อเป็นเครื่องประดับให้กับนางตานี และผ้าแพรต่างๆนำเอาไปพันรอบต้นกล้วยตานี พร้อมกับกราบไหว้ขอให้ผีนางตานีช่วย ปกปักษ์รักษาสมาชิกทุกคนในบ้าน ให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข มีลาภมหาศาล บางแห่งอาจจะมีการนำพระสงฆ์ หรือหมอผีมาทำพิธีร่วมด้วย

เชื่อกันว่าปลีกล้วยตานีที่มีผีนางตานีสิงสถิตย์อยู่นั้น มีฤทธิ์ทางเมตตามหานิยม  วิธีใช้ก็เพียงนำเอาปลีกล้วยมาตากแดดให้แห้งแล้วบดให้เป็นผง นำไปใช้ผสมเป็นแป้งผัดหน้า หรือ ผสมในสีผึ้งทาริมฝีปากดีนักแล

และเมื่อทำพิธีพลีพรายตานี แล้วต้นกล้วยเกิดมีปลีออกมาที่กลางต้น ก็จะถือว่ามีผีตานีสิงสถิตย์อยู่อย่างแน่นอน หนุ่มโสดที่นิยมการเล่นไสยาสตร์ก็จะ เข้าไปทำพิธีเซ่นไหว้ แล้วจะไปที่ต้นกล้วยตานีในเวลากลางคืนทุกคืน พอไปถึงก็จะทำการเกี้ยวพรายนางตานี ทุกคืนจนกว่านางตานีจะใจอ่อนและเห็นอกเห็นใจ จากนั้นจะเอามีดแอนโคนกล้วยออกมาก้อนนหนุ่ง พร้อมกับแกะสลักเป็นรูปผู้หญิง เมื่อนำกลับมาบ้านก็ให้ทำการเซ่นไหว้ทุกเช้าเย็น  ทำอย่างนี้ทุกวัน พรายนางตานีจะปรากฏออกมาให้เห็นในความฝัน พร้อมกับยอมเป็นเมียของชายหนุ่มผู้นั้น เมื่อชายหนุ่มได้นางตานีเป็นเมียแล้ว จะไม่สามารถมีผู้หญิงคนอื่นได้ แต่หากอยากจะมีเมียจริงต้องทำการขออนุญาตจากผีนางตานีก่อน

คนโบราณเชื่อกันว่าคนที่ได้ผีนางตานีเป็นเมีย มักจะเป็นคนอายุสั้นจะต้องมีอันเป็นไป เพราะผีตานีจะดูดพลังชีวิตของชายคนนั้นออกไปเรื่อยๆจนเสียชีวิต

ตำนานผีกระหัง

ตำนานผีกระหัง

หากพูดถึงผีที่อยู่คู่กับผีกระสือ คงจะไม่มีใครไม่รู้จักแน่นอน นั้นก็คือผีกระหัง ซึ่งก็มีตำนานความน่ากลัว และในอดีตเล่าต่อๆ กันว่าผีกระหังมีอยู่จริงในภาคอีสานของบ้านเรา วันนี้เรามารู้จักตำนานผีกระหังกัน
ผีกระหัง
ผีกระหัง
ผีกระหัง ตามความเชื่อพื้นบ้านมีลักษณะเป็นผีผู้ชาย ที่มีอุปนิสัยคล้ายกับกระสือ สามารถบินได้ โดยใช้กระด้งฝัดข้าวลักษณะคล้ายปีกโผบิน และนั่งบนสากตำข้าวควบคู่กัน จริงๆ แล้วตามความเชื่อการที่จะเป็นกระหังได้นั้นไม่ยาก การเป็นกระหังเกิดจาก การผิดครู คือ ผิดคำที่สัญญากับครู(อาจารย์ทางเวทมนต์)เช่น ต้องห้ามกินอาหารที่เป็นบวบ ห้ามเดินลอดสะพาน การผิดครูจะทำให้เกิดเป็นกระหังประเภทหนึ่งนั้นเอง

วันพุธที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ความเชื่อในเวียดนาม

 ในบทนี้ เป็นการศึกษาเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานด้านความเชื่อของชาวเวียดนาม ซึ่งประกอบไปด้วยความเชื่อเรื่องศาสนาและลัทธิความเชื่ออื่นๆที่ปรากฏอยู่ในเวียดนาม   ชาวเวียดนาม เองก็มีรูปแบบความเชื่อเหมือนกับที่อื่นๆ บนโลก   ในสมัยก่อนชาวเวียดนามโบราณ มีการไหว้บูชา เทพเจ้าต่างๆ มากมาย  พวกเขาไหว้และบูชาทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่มีตัวตน โดยเฉพาะความเชื่อความศรัทธาเกี่ยวกับธรรมชาติ  ที่ผู้คนในสังคมไม่สามารถหาคำอธิบายได้ในสมัยนั้น ปัจจุบัน มีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับวัฒนธรรมประเพณี  ความเชื่อ ของชาวเวียดนามโบราณ ด้านวัตถุโบราณ  บันทึก   และอื่นๆอีกมายมาย ทำให้เรารับรู้ในองค์ความรู้ด้านประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชาวเวียดนามโบราณ โดยทั่วไปที่จะศึกษาในส่วนนี้คือ เรื่องของความเชื่อ และศาสนา
ในสมัยก่อน เขาเชื่อกันว่า ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นล้วนแต่มี วิญญาณ (Linh Hon) ด้วยเหตุนี้ ทำให้ผู้คนมีการไหว้บูชา ในเทพเจ้าต่างๆมากมายแตกต่างกัน อาทิ การบูชาเทพเจ้าแห่งพระอาทิตย์ เทพเจ้าแห่งสายน้ำ เทพเจ้าแห่ง ทะเล เทพเจ้าแห่งฝน ในรูปแบบวัฒนธรรมการเกษตร เขาบูชาเทพเจ้าแห่งการเกษตร เพราะเชื่อว่า ท่านจะช่วยปกปักรักษาเกี่ยวกับพืชสวนไร่นา   บูชาเทพเจ้าแห่งข้าว และเทพเจ้าแห่งข้าวโพด ด้วยความหวังที่ว่า เพื่อที่จะช่วยในเรื่องผลผลิตในยามเก็บเกี่ยว ในระดับหมู่บ้านก็มีการบูชา   เทวดาอารักที่คอยปกปักรักษาหมู่บ้าน  นอกจากนั้นยังมีการบูชาบุคคลที่อยู่ในตำนาน และนิยาย หรือไม่ก็เป็นบุคคลที่มีคุณงามความดีแก่ประเทศชาติ  เช่น  ในตำนาน นิยายคือ  แถ้ง ซ้อง (Thanh Giong)  วีรบุรุษที่ช่วยปกป้องชาติจากกองทัพจีนในประวัติศาสตร์เวียดนาม คือ  ขุนพล หลี เถื่อง เกียด (Ly Thuong Kiet) และ  ขุนพล เจิ่น ฮึง ด่าว (Tran Hung Dao) เป็นต้น 
 
 
นอกจากนั้น  ยังมีความเชื่อเรื่อง    การบูชาบรรพบุรุษและการไหว้ในวันครบรอบวันตาย ซึ่งเป็นจารีตที่ชาวเวียดนามยึดถือมาแต่โบราณ เพราะเขาเชื่อว่าวิญญาณของญาติจะยังคงอยู่เคียงข้างและช่วยปกป้องและสนับสนุนช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา เนื่องจากมีความเชื่อนี้ทำให้ บ้านต่างๆของชาวเวียดนามมีการจัดตั้ง แท่นบูชาไว้สำหรับบูชาบรรพบุรุษของตน ซึ่งแท่นบูชานั้นจะถูกจัดวางไหว้ในที่ที่สำคัญที่สุดของบ้าน สำหรับการไหว้  นอกจากจะไหว้ในวันสำคัญแล้ว ข้างขึ้นข้างแรม นับแต่วันที่ ถึงขึ้น 15 ค่ำแล้วยังมีการไหว้ จุดธูปบูชาในโอกาสพิเศษอื่นๆ อีกมากมาย อาทิ วันที่มีการแต่งงาน งานศพ งานรื่นเริง  เทศกาลวันตรุษ เป็นต้น 
               
วันที่สำคัญที่สุดในการไหว้บรรพบุรุษก็คือ วันครอบรอบวันตาย ซึ่งการไหว้บรรพบุรุษในวันนี้จะเป็นการรวมตัวของลูกหลานที่อยู่ในวงศ์ตระกูล  และเพื่อนสนิทมิตรสหาย  ซึ่งก็แล้วแต่ละครอบครัวเป็นคนกำหนด แต่มีบางครั้งในการไหว้บรรพบุรุษในวันนี้ไม่ได้มีพิธีอะไรใหญ่โตมาก สิ่งของที่ใช้ไหว้นั้น บางครั้งก็ไม่ได้จัดให้ครบองค์ประกอบ  เพียงแค่มี  การจุดธูปบูชา หรือมีแก้วน้ำ  ผลไม้   สิ่งที่สำคัญคือจิตใจของลูกหลานที่ยังคงระลึกถึงคุณความดีและสำนึกในบุญคุณของบรรพบุรุษเท่นั้นเอง  อย่างไรก็ตาม เมื่อกล่าวถึงเรื่องการบูชาบรรพบุรุษ แล้วต้องนึกถึงการบูชาบรรพบุรุษที่ยิ่งใหญ่ระดับชาติของชาวเวียดนาม นั้นก็คือ  วันบูชาพระเจ้า หุ่ง เวือง   ซึ่งจะมีการจัดเทศกาลในการไหว้ในวันที่ 10 เดือน 3 ตามปฏิทินจันทรคติของทุกปี
 
          ปัจจัยด้านการเปลี่ยนแปลงทางด้านประวัติศาสตร์ของชาติ  ผ่านกาลเวลาหลายศตวรรษภายใต้การปกครองของชนจีน หรือในยุคที่เวียดนามตกอยู่ภายใต้การปกครองของจีน  วิถีชีวิตและทัศนคติความเชื่อของชาวเวียดนามได้รับอิทธิพลอย่างมากจากวัฒนธรรมจีน ในสมัยราชวงศ์ฮั่น  โดยเฉพาะระบบแนวคิดทางความเชื่อ  แนวคิดหลัก หรือที่เวียดนามเรียกว่า ตาม สาว (Tam giao) ที่แผ่ขยายเข้าสู่วิถีชีวิตของชาวเวียดนาม ซึ่งแนวความคิดดังกล่าว ประกอบด้วย แนวคิดตามศาสนาพุทธ เต๋า และขงจื้อ   ลัทธิเต๋าและขงจื้อมีต้นกำเนิดมาจากจีน   และแผ่ขยายเข้าสู่เวียดนามประมาณต้นคริสตกาล ผ่านชนชั้นผู้ปกครองชาวจีน พุทธศาสนานั้นมีต้นกำเนิดมาจากประเทศอินเดียและมี นิกายที่แผ่เข้าสู่เวียดนาม คือ มหายานและหินยาน   นิกายมหายาน (Phai Dai Thua) นั้นแผ่เข้าสู่เวียดนามผ่านจีน  พร้อมกับ ลัทธิเต๋าและขงจื้อ    ส่วนนิกาย หินยานแผ่เข้าสู่เวียดนามทางไทย พม่า กัมพูชา ลาวและแผ่เข้าสู่เวียดนาม กล่าวโดยทั่วไปแล้วความเชื่อใน แนวคิดทางศาสนาหลักๆ พุทธศาสนา  เต๋า  และขงจื้อ ก็มีช่วงเวลาที่มีความรุ่งแรงและเสื่อมถอยอยู่เวียดนาม แต่ก็เป็นแนวคิดที่มีอิทธิพลต่อความเชื่อของชาวเวียดนามทุกๆชนชั้นในสังคม  โดยเฉพาะพุทธศาสนา และชาวเวียดนามได้รับเอาแนวคิดและหลักคำสอนทางศาสนาใหม่ที่เผยแพร่เข้ามาและปรับใช้กับความเชื่อเดิมได้อย่างเหมาะสมกับวัฒนธรรม ประเพณี ของประชาชนชาวเวียดนาม
 

วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ไสยศาสตร์เขมร

                                                        ไสยศาสตร์เขมร ความเชื่อ
         พลิกดูนิตยสาร ปรเจียเปร็ย ของกัมพูชา เนื้อหาที่นำเสนอนอกจากเรื่องบันเทิง สารคดี สุขภาพ ดวง และกาพย์กลอนแล้ว ยังมีคอลัมน์หนึ่งที่รออ่านได้ทุกฉบับคือ คอลัมน์ "มนุษย์อัศจรรย์" เป็นสกู๊ปข่าวเกี่ยวกับหมอไสยศาสตร์ล้วน
         เนื้อหาในคอลัมน์ กล่าวถึงหมอผู้มีอาคมแก่กล้า บอกถึงวิธีการรักษา และความเห็นของคนไข้ที่เข้าไปรับการรักษา เป็นต้นว่ามียายท่านหนึ่งที่เขตกำปงชนังเปิดบ้านรักษาคนไข้โดยใช้มีดอาคม คนไข้ที่เข้าไปหาแกต้องมีธูป เทียน น้ำตาล และเงินเล็กน้อยเป็นค่าครู คอลัมน์นี้ ย่อมเป็นตัวชี้วัดว่า ชาวกัมพูชาส่วนหนึ่งยังเชื่อเรื่องไสยศาสตร์
         ในประเทศไทยเอง ความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ยังมีเช่นกัน เห็นได้จากความยิ่งใหญ่ของเณรแอที่ผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองยังเข้าไปกราบคารวะ แถมยังมีการนำเอาเรื่องราวมาสร้างเป็นภาพยนตร์อีกด้วย นี่ย่อมเป็นเครื่องยืนยันการดำรงอยู่ของไสยศาสตร์ในประเทศไทยเช่นกัน
         อาจารย์กังวล คัชชิมา แห่งคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้ศึกษาเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์อย่างเป็นระบบ โดยนำเสนอผลงานวิจัยนี้เมื่อต้นเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา ในหัวข้อ 'ไสยศาสตร์เขมร อวิชชาที่ต้องทำความเข้าใจ' ที่ห้อง 413 คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ แม้จะเป็นวันเสาร์ แต่ก็น่าแปลกใจ เมื่อพบว่ามีผู้คนก็เข้ามาฟังกันแน่นห้อง ถึงกับต้องเสริมเก้าอี้
ไสยศาสตร์แท้จริงแล้วคืออะไร มีจริงหรือไม่!
         คำถามเหล่านี้ มักผุดพรายขึ้นในใจของผู้คนเสมอ ถ้ามองปัญหานี้อย่างนักวิชาการแล้ว อาจารย์กังวลร่ายเรียงให้ฟังว่า ไสยศาสตร์นับเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งที่มีบทบาทใกล้ชิดกับคนไทยมาเป็นเวลานาน เมื่อพูดถึงไสยศาสตร์ คนไทยส่วนหนึ่งก็มักกล่าวถึงไสยศาสตร์เขมร เห็นได้จากในวรรณคดีหรือนวนิยายของไทยที่มีเรื่องเกี่ยวกับไสยศาสตร์ มักจะมีการกล่าวถึงไสยศาสตร์เขมรเสมอ
อาจารย์ให้รายละเอียดอีกว่า แม้แต่การเขียนยันต์ของเกจิอาจารย์ต่างๆ ก็ใช้อักษรขอมเป็นส่วนมาก เพราะถือว่าเป็นอักขระที่ศักดิสิทธิ์ ซึ่งคำว่า ขอม ในความหมายของไทยก็คือเขมรนั่นเอง
สำหรับพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ที่นิยมกันมากนั้น ตามที่อาจารย์ศึกษาและพบมา คือ การสะเดาะเคราะห์
         จุดประสงค์ของพิธีกรรมนี้ ก็คือ เพื่อปัดเป่าในสิ่งที่ไม่ดีออกไป ไม่ว่าจะเป็นการเจ็บป่วย เหตุการณ์ร้ายที่ไม่คาดฝัน ตลอดจนความไม่สบายใจต่างๆ ที่เกิดขึ้น การสะเดาะเคราะห์จะเกิดขึ้นได้ต้องมีผู้สะเดาะเคราะห์ หมายถึงผู้เข้าพิธีสะเดาะเคราะห์ เพื่อต้องการให้ชีวิตตนเองดีขึ้น แคล้วคลาดจากภัยอันตรายต่างๆ และ อาจารย์ อันหมายถึง ผู้จัดแจงและดำเนินการประกอบพิธีสะเดาะเคราะห์ ให้เป็นไปตามระเบียบแบบแผนที่สืบเนื่องกันมา
         ประเพณีสะเดาะเคราะห์ เชื่อว่าคนที่มีอายุ 21 ปีขึ้นไป ทั้งหญิงหรือชายถือว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว จึงเริ่มมีเคราะห์ ถ้าอายุต่ำกว่า 21 ปี ถือว่ายังเป็นเด็กและยังไม่มีเคราะห์ การสะเดาะเคราะห์สามารถทำได้ทุกเวลา แต่มีบางคนที่จะไม่ทำในวันที่ถือว่าเป็นวันไม่ดี เช่น วันขึ้นสองค่ำและแรมเจ็ดค่ำ ซึ่งเขมรเรียกว่า วันผีกินคน
         ไสยศาสตร์ แบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ 3 กลุ่ม คือ ได้แก่ ไสยศาสตร์เพื่อการรักษา เป็นไสยขาว ได้ชื่อเช่นนี้เพราะเป็นประโยชน์ต่อผู้คน เช่น การสะเดาะเคราะห์ ต่อชะตารักษาโรค กลุ่มต่อมาคือไสยศาสตร์เพื่อการป้องกัน ได้แก่ คาถาคงกระพันชาตรี ผ้ายันต์ เสื้อยันต์ สักยันต์เป็นรูปต่างๆ และกลุ่มสุดท้ายคือไสยศาสตร์เพื่อการทำลาย ประเภทนี้เรียกอีกอย่างว่าไสยศาสตร์ดำหรือมนต์ดำ เนื่องจากมีความชั่วร้ายประกอบอยู่ ลักษณะการใช้ ทำให้ผู้อื่นทุกข์ทรมานหรืออาจถึงเสียชีวิตได้
ไสยศาสตร์ เพื่อการทำลายที่รู้จักกันมาก เช่น เสกหนังวัวหนังควายเข้าท้อง ใช้เสี้ยน เข็ม หรือเข็มหมุดทำอันตราย ที่โดดเด่นที่สุดในกลุ่มนี้ก็คือ วัวธนู ควายธนู
         คำว่า วัวธนู ควายธนู นี้ คนไทยเรียกจนติดปากว่าวัวธนู หรือ ควายธนู เพราะเข้าใจว่าธนูเป็นคำแสดงความสามารถพิเศษของวัวหรือควายอาคม แต่ความจริงแล้ว คำว่าธนูมีความหมายถึงวิธีการทางไสยศาสตร์สองประเภท และมีการทำพิธีที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน นั่นคือ แบบหนึ่งใช้วัวอาคม อีกแบบหนึ่งใช้ธนูอาคมในการทำลายคนในเป้าหมาย เขมรเรียกว่า 'โกบา สนาเตะ' หมายถึงวัวตัวผู้หรือวัวพ่อพันธุ์กับหน้าไม้
         การใช้วัวอาคมทำร้ายอันตรายคนเป้าหมายนั้น หมออาคมจะใช้ดินเหนียวปั้นรูปวัวตามกรรมวิธีเฉพาะที่ร่ำเรียนมาตามขั้นตอน หมออาคมจะสั่งให้วัวอาคมนั้นไปขวิดเป้าหมาย ถ้าไม่มีอาจารย์ผู้ทรงเวทมนตร์อาคมแก่กล้ากว่ามาช่วยไว้ทัน เชื่อกันว่าคนในเป้าหมายก็จะเสียชีวิตได้
         ส่วนในการใช้ธนูอาคมนั้น อาจใช้หน้าไม้แทนกันได้ การประกอบพิธีและเครื่องประกอบพิธีจะมีแบบฉบับของแต่ละสำนัก ส่วนที่มีลักษณะคล้ายกันคือ มักจะปั้นหุ่นคนเป้าหมายด้วยแป้ง หรือวัสดุอื่นๆ ที่อ่อนๆ หมออาคมจะร่ายเวทมนต์เป็นเวลานาน เพื่อจะให้บังเกิดผลที่ตัวเองต้องการมากที่สุด พร้อมกันนั้น ก็มีการอัญเชิญครูบาอาจารย์ให้มาช่วยเหลือในการประกอบพิธีด้วย
         เมื่อหมออาคมร่ายมนต์เสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว หมอจะเอาลูกศรใส่ที่ธนูหรือหน้าไม้เล็งไปยังหุ่นเป้าหมายนั้น เชื่อกันว่าที่บ้านของคนเป้าหมายจะเกิดมีเสียงดังสนั่นหวั่นไหวคล้ายเสียงฟ้าผ่า บุคคลเป้าหมายจะรู้สึกเจ็บบริเวณต่างๆ ที่หุ่นนั้นยิง เหมือนถูกยิงด้วยศรจริงๆ
         เรื่องไสยศาสตร์ ใช่มีแต่เขมรหรือไทยเท่านั้น ซีกโลกตะวันตกอย่างประเทศ "โตโก" หนึ่งในเจ้าของทีมฟุตบอลที่เข้ารอบฟุตบอลโลก ยังมีหมอผีนั่งบริกรรมคาถาอย่างขะมักเขม้น เพื่อให้ทีมของตนคว้าชัย เรื่องของความเชื่อ ความศรัทธา เป็นเรื่องของแต่ละคน สำหรับความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์นี้ แม้ในปัจจุบันความเจริญด้านวิทยาศาสตร์จะก้าวหน้า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ยังดำรงอยู่ และจะดำรงอยู่ต่อไป ตราบเท่าที่คนยังมีด้านมืดและด้านสว่าง