ไสยศาสตร์เขมร ความเชื่อ
พลิกดูนิตยสาร ปรเจียเปร็ย ของกัมพูชา เนื้อหาที่นำเสนอนอกจากเรื่องบันเทิง สารคดี สุขภาพ ดวง และกาพย์กลอนแล้ว ยังมีคอลัมน์หนึ่งที่รออ่านได้ทุกฉบับคือ คอลัมน์ "มนุษย์อัศจรรย์" เป็นสกู๊ปข่าวเกี่ยวกับหมอไสยศาสตร์ล้วน
เนื้อหาในคอลัมน์ กล่าวถึงหมอผู้มีอาคมแก่กล้า บอกถึงวิธีการรักษา และความเห็นของคนไข้ที่เข้าไปรับการรักษา เป็นต้นว่ามียายท่านหนึ่งที่เขตกำปงชนังเปิดบ้านรักษาคนไข้โดยใช้มีดอาคม คนไข้ที่เข้าไปหาแกต้องมีธูป เทียน น้ำตาล และเงินเล็กน้อยเป็นค่าครู คอลัมน์นี้ ย่อมเป็นตัวชี้วัดว่า ชาวกัมพูชาส่วนหนึ่งยังเชื่อเรื่องไสยศาสตร์
ในประเทศไทยเอง ความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ยังมีเช่นกัน เห็นได้จากความยิ่งใหญ่ของเณรแอที่ผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองยังเข้าไปกราบคารวะ แถมยังมีการนำเอาเรื่องราวมาสร้างเป็นภาพยนตร์อีกด้วย นี่ย่อมเป็นเครื่องยืนยันการดำรงอยู่ของไสยศาสตร์ในประเทศไทยเช่นกัน
อาจารย์กังวล คัชชิมา แห่งคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้ศึกษาเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์อย่างเป็นระบบ โดยนำเสนอผลงานวิจัยนี้เมื่อต้นเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา ในหัวข้อ 'ไสยศาสตร์เขมร อวิชชาที่ต้องทำความเข้าใจ' ที่ห้อง 413 คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ แม้จะเป็นวันเสาร์ แต่ก็น่าแปลกใจ เมื่อพบว่ามีผู้คนก็เข้ามาฟังกันแน่นห้อง ถึงกับต้องเสริมเก้าอี้
ไสยศาสตร์แท้จริงแล้วคืออะไร มีจริงหรือไม่!
คำถามเหล่านี้ มักผุดพรายขึ้นในใจของผู้คนเสมอ ถ้ามองปัญหานี้อย่างนักวิชาการแล้ว อาจารย์กังวลร่ายเรียงให้ฟังว่า ไสยศาสตร์นับเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งที่มีบทบาทใกล้ชิดกับคนไทยมาเป็นเวลานาน เมื่อพูดถึงไสยศาสตร์ คนไทยส่วนหนึ่งก็มักกล่าวถึงไสยศาสตร์เขมร เห็นได้จากในวรรณคดีหรือนวนิยายของไทยที่มีเรื่องเกี่ยวกับไสยศาสตร์ มักจะมีการกล่าวถึงไสยศาสตร์เขมรเสมอ
อาจารย์ให้รายละเอียดอีกว่า แม้แต่การเขียนยันต์ของเกจิอาจารย์ต่างๆ ก็ใช้อักษรขอมเป็นส่วนมาก เพราะถือว่าเป็นอักขระที่ศักดิสิทธิ์ ซึ่งคำว่า ขอม ในความหมายของไทยก็คือเขมรนั่นเอง
สำหรับพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ที่นิยมกันมากนั้น ตามที่อาจารย์ศึกษาและพบมา คือ การสะเดาะเคราะห์
จุดประสงค์ของพิธีกรรมนี้ ก็คือ เพื่อปัดเป่าในสิ่งที่ไม่ดีออกไป ไม่ว่าจะเป็นการเจ็บป่วย เหตุการณ์ร้ายที่ไม่คาดฝัน ตลอดจนความไม่สบายใจต่างๆ ที่เกิดขึ้น การสะเดาะเคราะห์จะเกิดขึ้นได้ต้องมีผู้สะเดาะเคราะห์ หมายถึงผู้เข้าพิธีสะเดาะเคราะห์ เพื่อต้องการให้ชีวิตตนเองดีขึ้น แคล้วคลาดจากภัยอันตรายต่างๆ และ อาจารย์ อันหมายถึง ผู้จัดแจงและดำเนินการประกอบพิธีสะเดาะเคราะห์ ให้เป็นไปตามระเบียบแบบแผนที่สืบเนื่องกันมา
ประเพณีสะเดาะเคราะห์ เชื่อว่าคนที่มีอายุ 21 ปีขึ้นไป ทั้งหญิงหรือชายถือว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว จึงเริ่มมีเคราะห์ ถ้าอายุต่ำกว่า 21 ปี ถือว่ายังเป็นเด็กและยังไม่มีเคราะห์ การสะเดาะเคราะห์สามารถทำได้ทุกเวลา แต่มีบางคนที่จะไม่ทำในวันที่ถือว่าเป็นวันไม่ดี เช่น วันขึ้นสองค่ำและแรมเจ็ดค่ำ ซึ่งเขมรเรียกว่า วันผีกินคน
ไสยศาสตร์ แบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ 3 กลุ่ม คือ ได้แก่ ไสยศาสตร์เพื่อการรักษา เป็นไสยขาว ได้ชื่อเช่นนี้เพราะเป็นประโยชน์ต่อผู้คน เช่น การสะเดาะเคราะห์ ต่อชะตารักษาโรค กลุ่มต่อมาคือไสยศาสตร์เพื่อการป้องกัน ได้แก่ คาถาคงกระพันชาตรี ผ้ายันต์ เสื้อยันต์ สักยันต์เป็นรูปต่างๆ และกลุ่มสุดท้ายคือไสยศาสตร์เพื่อการทำลาย ประเภทนี้เรียกอีกอย่างว่าไสยศาสตร์ดำหรือมนต์ดำ เนื่องจากมีความชั่วร้ายประกอบอยู่ ลักษณะการใช้ ทำให้ผู้อื่นทุกข์ทรมานหรืออาจถึงเสียชีวิตได้
ไสยศาสตร์ เพื่อการทำลายที่รู้จักกันมาก เช่น เสกหนังวัวหนังควายเข้าท้อง ใช้เสี้ยน เข็ม หรือเข็มหมุดทำอันตราย ที่โดดเด่นที่สุดในกลุ่มนี้ก็คือ วัวธนู ควายธนู
คำว่า วัวธนู ควายธนู นี้ คนไทยเรียกจนติดปากว่าวัวธนู หรือ ควายธนู เพราะเข้าใจว่าธนูเป็นคำแสดงความสามารถพิเศษของวัวหรือควายอาคม แต่ความจริงแล้ว คำว่าธนูมีความหมายถึงวิธีการทางไสยศาสตร์สองประเภท และมีการทำพิธีที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน นั่นคือ แบบหนึ่งใช้วัวอาคม อีกแบบหนึ่งใช้ธนูอาคมในการทำลายคนในเป้าหมาย เขมรเรียกว่า 'โกบา สนาเตะ' หมายถึงวัวตัวผู้หรือวัวพ่อพันธุ์กับหน้าไม้
การใช้วัวอาคมทำร้ายอันตรายคนเป้าหมายนั้น หมออาคมจะใช้ดินเหนียวปั้นรูปวัวตามกรรมวิธีเฉพาะที่ร่ำเรียนมาตามขั้นตอน หมออาคมจะสั่งให้วัวอาคมนั้นไปขวิดเป้าหมาย ถ้าไม่มีอาจารย์ผู้ทรงเวทมนตร์อาคมแก่กล้ากว่ามาช่วยไว้ทัน เชื่อกันว่าคนในเป้าหมายก็จะเสียชีวิตได้
ส่วนในการใช้ธนูอาคมนั้น อาจใช้หน้าไม้แทนกันได้ การประกอบพิธีและเครื่องประกอบพิธีจะมีแบบฉบับของแต่ละสำนัก ส่วนที่มีลักษณะคล้ายกันคือ มักจะปั้นหุ่นคนเป้าหมายด้วยแป้ง หรือวัสดุอื่นๆ ที่อ่อนๆ หมออาคมจะร่ายเวทมนต์เป็นเวลานาน เพื่อจะให้บังเกิดผลที่ตัวเองต้องการมากที่สุด พร้อมกันนั้น ก็มีการอัญเชิญครูบาอาจารย์ให้มาช่วยเหลือในการประกอบพิธีด้วย
เมื่อหมออาคมร่ายมนต์เสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว หมอจะเอาลูกศรใส่ที่ธนูหรือหน้าไม้เล็งไปยังหุ่นเป้าหมายนั้น เชื่อกันว่าที่บ้านของคนเป้าหมายจะเกิดมีเสียงดังสนั่นหวั่นไหวคล้ายเสียงฟ้าผ่า บุคคลเป้าหมายจะรู้สึกเจ็บบริเวณต่างๆ ที่หุ่นนั้นยิง เหมือนถูกยิงด้วยศรจริงๆ
เรื่องไสยศาสตร์ ใช่มีแต่เขมรหรือไทยเท่านั้น ซีกโลกตะวันตกอย่างประเทศ "โตโก" หนึ่งในเจ้าของทีมฟุตบอลที่เข้ารอบฟุตบอลโลก ยังมีหมอผีนั่งบริกรรมคาถาอย่างขะมักเขม้น เพื่อให้ทีมของตนคว้าชัย เรื่องของความเชื่อ ความศรัทธา เป็นเรื่องของแต่ละคน สำหรับความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์นี้ แม้ในปัจจุบันความเจริญด้านวิทยาศาสตร์จะก้าวหน้า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ยังดำรงอยู่ และจะดำรงอยู่ต่อไป ตราบเท่าที่คนยังมีด้านมืดและด้านสว่าง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น